คุณรู้ไหม 90-95% ของคนเล่นหุ้นในตลาดหุ้น “เล่นหุ้นขาดทุน” และคุณอาจเป็น 1 ในนั้น ถ้าคุณไม่รู้เรื่องนี้
.
ถ้าผมถามคุณว่า…
คนที่ได้กำไรในตลาดหุ้นกับคนที่ขาดทุนในตลาดหุ้น มีอะไรที่แตกต่างกัน
.
คุณคงบอกว่า...
.
1.เขามีประสบการณ์
2.เขามีความรู้
3.เขามีวินัย
4.เขามีความอดทน
5.เขามีเวลา
.
“ใครก็รู้”
.
แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ…
ถ้าคุณบอกว่าคนสำเร็จ เขาประสบความสำเร็จเพราะเขามีประสบการณ์ แต่ถ้าประสบการณ์เป็นตัวคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จจริง คุณกำลังบอกว่าคนที่เล่นหุ้นมา 10 ปีจะไม่เจ๊งสิ
.
มันคือความจริงมัย?
.
ไม่จริงหรอก...
เพราะผมเห็นคนเล่นหุ้นมา 10ปี 20ปี เยอะมากก็ยังขาดทุน ยังเจ๊งอยู่ในตลาดหุ้น บ้างคนขาดทุนจนกลัวการลงทุนไปเลยก็มี
.
และถ้าคุณบอกว่าคนสำเร็จ เขาประสบความสำเร็จเพราะเขามีความรู้ แต่ในความเป็นจริงความรู้แทบทุกอย่างมีอยู่บนอินเตอร์เน็ท มีอยู่ในหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านงบการเงินหรือการใช้ Indicator เทคนิคการทำกำไรต่างๆ
.
แต่ทำไมคนก็ยังเล่นหุ้นขาดทุน ทั้งที่มีความรู้เยอะแยะมากมายบนโลกออนไลน์ และในหนังสือ…
.
และนี้คือสิ่งที่ผมจะบอกครับ
จริงๆ ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ไม่ใช่เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ ไม่ใช่เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์ แต่สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะสิ่งที่ผมเรียกกว่าประสบการณ์ในอดีต…
.
คุณลองจิตนาการตามผมดูนะครับ
.
มีชายหนุ่มคนนึง…
ซื้อหุ้นซื้อ XXX มาในราคา 1 บาท ผ่านไป 3 วันราคาหุ้นตัวนี้ขึ้นไปที่ 2 บาท ชายหนุ่มคนนั้นได้กำไรไป 100% แต่เขาก็ยังไม่ขาย และ…พอผ่านไปอีก 3 วันราคาหุ้นตัวนี้ลงไปที่ 80 สตางค์ทำให้ราคาหุ้นที่เขาถือจากกำไรกลายเป็นขาดทุน 20% แทน แต่เขาก็ยังบอกตัวเองไม่เป็นไรไม่ขายไม่ขาดทุน เขาก็เลยถือหุ้นตัวนี้ต่อไป ผ่านไปอีก 3 ราคาหุ้นตัวนั้นล่วงลงไปอีกเหลือ 50 สตางค์ เขาก็เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ขายตอนนี้อาจจะหมดตัวก็ได้ เขาจึงขายหุ้นตัวนี้ไป ทำให้เขาขาดทุน 50% ซึ่งเป็นเงิน 1 แสนบาท
.
ที่นี้พอผ่านไป 1 เดือน…
ชายหนุ่มคนนี้ก็ได้ซื้อหุ้นตัวใหม่ในราคา 1 บาท และเหมือนกันเลยพอผ่านไป 3 วันราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 2 บาทคุณว่าเขาจะทำยังไง…
.
90% จะตอบว่าเขาจะขาย
.
ใช่ครับชายหนุ่มคนนั้นขาย และได้กำไรไป 100% และผ่านไปอีก 3 วันราคาหุ้นก็ล่วงไปที่ 80 สตางค์เหมือนเดิม และเขาก็เริ่มบอกกับตัวเองว่า… “นั้นในว่าแล้ว ดีนะที่ขายไป เดี๋ยวมันต้องลงไปที่ 50 สตางค์แน่นอน” และเวลาก็ผ่านไปอีก 3 วันราคาหุ้นตัวนั้นกลับวิ่งขึ้นไปที่ 5 บาทแทน ซึ่งก็โอเคร เพราะกำไรดีกว่าขาดทุน
.
1 เดือนผ่านไป…
ชายหนุ่มก็ได้ซื้อหุ้นตัวใหม่อีกในราคา 1 บาท และเมื่อเวลาผ่านไป 3 วันราคาหุ้นตัวนี้ขึ้นไปที่ 2 บาท คุณว่าเขาจะทำยังไง…
.
ที่นี้คำตอบจะมี 2 อย่าง
1.บางคนก็ตอบว่าขาย
2.บาคนจะตอบว่าไม่ขาย
.
มันไม่มีอะไรถูก อะไรผิด แต่ชายหนุ่มคนนั้นเลือที่จะไม่ขาย (ถ้าเขาฉลาดหน่อย หลายคนก็จะบอกว่าเขาควรขาย ได้กำไรดีกว่าขาดทุน) ผ่านไปอีก 3 วัน…ราคาหุ้นที่เขาถืออยู่ก็ล่วงลงมาที่ 80 สตางค์ แต่เขาก็เริ่มบอกตัวเองว่าไม่เป็นไปเดี๋ยวมันก็ขึ้นไป 5 บาท เหมื่อนครั้งที่แล้ว แต่สิ่งที่เขาทำเพิ่มคือซื้อหุ้นที่ราคาล่วงลงมาเพิ่มเข้าไปอีก
.
ผ่านไปอีก 3 วัน
ราคาหุ้นที่เขาถือก็ล่วงลงไปอีกแทนที่จะขึ้น ตอนนี้ราคาหุ้นที่เขาถือราคาเหลือ 50 สตางค์ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาก็เริ่มซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปในพอร์ตอีก เพราะคิดว่าราคาที่ล่วงลงมาเป็นโอกาสที่ทำให้เขาซื้อหุ้นได้ถูกลง
.
ผ่านไปอีก 3 วัน
ราคาหุ้นที่เขาถือราคาก็ล่วงลงไปที่ 10 สตางค์ และนั้นทำให้เขาเริ่มตระหนักรู้แล้วว่าตอนนี้เขาซื้อหุ้นผิดทางแน่นอน แต่ก็ไม่ยอมขายหุ้นตัวนั้นทิ้งเพราะใส่เงินเข้าไปกับหุ้นตัวนั้นเยอะมาก
.
ถึงตรงนี้หลายคนก็อาจจะรู้สึกว่าเหตุการณ์แบบนี้มันคุ้นๆ กับชีวิตการลงทุนของเราเลย
.
ใช่ครับ…
ไม่ต้องแปลกใจ เพราะคนส่วนใหญ่จะติดอยู่สถานการณ์ “ไม่ขาย ไม่ขาดทุน” และก็ติดหุ้นที่ราคา 10 สตางค์
.
หลายคนจะถามผมว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น…
เพราะสามารถที่ทำให้คนส่วนใหญ่ “เจ๊ง” ในตลาดหุ้น คือ “ประสบการณ์แย่ๆ ในอดีต”
.
เช่น….
1.คุณอาจเคยซื้อหุ้น 1 ตัว กำไร 10% แล้วคุณไม่ขาย และผลสุดท้ายมันก็กลับมาขาดทุน ครั้งถัดไปเวลาคุณซื้อหุ้นกำไร 10% คุณก็จะรีบขายทันที แทนที่จะได้กำไร 100% 1,000% แบบสุดยอดนักลงทุน
.
2.คุณอาจเคยซื้อหุ้น 1 ตัว ราคา 10 บาท แล้วราคาก็ล่วงลงมาที่ 5 บาท คุณขาดทุน 50% พอคุณขายทิ้ง ราคาหุ้นก็วิ่งไปที่ 20 บาท ครั้งถัดไปเวลาคุณซื้อหุ้นขาดทุน 30% ขาดทุน 50% คุณก็จะไม่ขาย และมันก็ขาดทุนลงไปเรื่อย 70% 80% เพราะคุณคิดว่าถ้าคุณขายราคาหุ้นวิ่งขึ้นจะซวยเอา
.
ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คุณขาดทุนไม่ใช่เทคนิค แต่เป็นประสบการณ์แย่ๆ ในอดีตที่คุณเจอต่างหาก
.
เพราะทุกพฤติกรรมของมนุษย์เรามาจากวิธีคิด และทุกวิธีคิดของเรามจากประสบการณ์ในอดีต
.
ซึ่งคุณอาจเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่คุณเปลี่ยนแปลงวิธีคิดได้ คุณแค่ต้องมีสติ และรู้ตัวว่าสิ่งที่คุณจะทำอะไรบ้างอย่างในการลงทุน มันคือประสบการณ์ในอดีต หรือมันคือสิ่งที่คุณควรทำจริงๆ
.
ในการลงทุน...
จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทำในสิ่งที่ถูกใจ และกำไรจะอยู่กับคุณ
